bee
star
line
      bg-bee
      bg-bee-2

      ความแตกต่างของกรด

       

      asian-woman-with-beautiful-face-gathered-ponytail-fresh-skin-white-isolated-background-1-1024x683
       
       

       

      ในปัจจุบันมีการนำกรดมาใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งทางการแพทย์และความสวยความงาม มีการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง วัตถุประสงค์เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว ปรับสีผิวให้กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ ลดความหมองคล้ำของผิว ใช้ในการปรับค่า pH และคุณสมบัติในการรักษาสิว ลดริ้วรอย ทั้งยังช่วยเพิ่มความนุ่ม น่าสัมผัสให้แก่ผิว ดังนั้นจึงมีการเปรียบเทียบความแตกต่างของกรดต่างๆเพื่อจะได้มีการนำไปใช้อย่างถูกวิธี และไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค และผู้ใช้งาน มาดูความแตกต่างของกรดต่างๆกันค่ะ
       
       
      Picture1

      Salicylic acid

      Salicylic Acid (BHA) / Beta Hydroxy Acid เป็นสารที่ได้จากการสังเคราะห์ สามารถละลายในไขมันได้ซึ่งต่างจากกรดทั่วไป AHA โดย BHAจะสามารถผลัดเซลล์ผิว สลายเซลล์ผิวที่ตกค้าง เร่งการผลักเซลล์ผิวใหม่ พร้อมกับละลายไขมัน สิ่งสกปรกที่อุดตันในรุขุมขนได้ ลดการอุดตัน เผยผิวสะอาด ใส เรียบเนียนขึ้น

      Salicylic Acid จะช่วยลดค่า pH ของผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นในกระบวนการผลัดผิวตามธรรมชาติ

      คุณสมบัติ

      • ฆ่าเชื้อโรค (Antiseptic)
      • ผลัดเซลล์ผิว (Keratolytic)
      • ต่อต้านรังแค (Anti-dandruff)มีฤทธิ์สลายสิวอุดตัน และสิ่งสกปรกที่อยู่ในรูขุมขน

      ลักษณะผลิตภัณฑ์ : ผงสีขาว

      ปริมาณการใช้ที่แนะนำ : 0.1-3%(อ.ย. อนุญาตให้ใช้ไม่เกิน 2.0% สำหรับผลิตภัณฑ์ทาผิว และ 3.0% สำหรับผลิตภัณฑ์สระผมกำจัดรังแค หรือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วล้างออก), หากใช้ในความเข้มข้นสูงกว่านี้ ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์

      การละลาย - วิธีใช้ : ละลาย กับ Isoprene Glycol (Isopentyldiol), Propylene Glycol, Butylene Glycol, Alcohol ก่อนเติมลงในสูตร

       
       
      a220

      Azelaic Acid

      SpecKare® ALA (Azelaic Acid) อยู่ในกลุ่มของกรดไดคาร์บอกซิลิก (Dicarboxylic Acid) เป็นกรดอินทรีย์ที่มักพบในพืชตระกูลข้าวสาลี ข้าวไรซ์และข้าวบาร์เลย์ส่วนใหญ่มักถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อรักษาปัญหาผิวที่มีความรุนแรงในระดับน้อยไปจนถึงระดับปานกลาง

      #คณะผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบส่วนผสมเครื่องสำอางของสหรัฐอเมริกา สรุปว่า Azelaic Acid มีความปลอดภัย

      คุณสมบัติ

      🔸️ต้านเชื้อแบคทีเรียP.acne (แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว)

      🔸️มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและลด ROS ช่วยรักษาโรคผิวหนัง

      🔸️มีฤทธิ์ผลัดเซลส์ผิว ลดรอยแดงและรอยดำหลังเกิดสิว

      🔸️ป้องกันการสร้างเคราตินมากเกินไป สาเหตุของสิวอุดตัน

      🔸️ช่วยต้านอนุมูลอิสระปรับผิวขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ

      🔸️ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสง อ่อนโยนและปลอดภัย

      🔸️ปรับสมดุลการหลั่งน้ำมันของผิว

      🔸️ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ช่วยรักษาฝ้ากระ รอยดำ

      ลักษณะผลิตภัณฑ์ : ผงสีขาวหรือเหลืองอ่อน มีกลิ่นเฉพาะตัว

      ปริมาณการใช้ที่แนะนำ : 1-10 %

      การละลาย - วิธีใช้ : ละลายใน Butylene glycol , Glycerin , Alcoholและสามารถละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย

      ชื่อที่ใช้สำหรับยื่นจดแจ้งเครื่องสำอาง : Potassium azeloyl diglycinate

       

      ความแตกต่างระหว่าง Salicylic acid และ Azelaic Acid

      Azelaic acid เป็นกรดธรรมชาติ สามารถออกฤทธิ์เป็นยาต้านจุลชีพ และช่วยลดการอุดตันได้ นิยมนำมาใช้เป็นยารักษาสิวที่มีความรุนแรงน้อยไปถึงความรุนแรงปานกลาง นอกจากนี้กรดอะซีลาอิกสามารถลดรอยดำจากสิวหลังการรักษาสิวได้ และใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนังอักเสบโรซาเซีย (Rosacea) โดยช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง แต่กรดอะซีลาอิกมีข้อเสียคืออาจจะทำให้ผิวไหม้ แสบร้อน หรือเกิดเป็นแผลพุพองได้ หากมีการใช้ที่ผิดวิธีดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ทุกครั้ง

      ส่วน Salicylic acid เป็นกรดมาจากธรรมชาติเช่นเดียวกับ Azelaic acid ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว Keratinocyte ที่อุดตันในรูขุมขน ลดอัตราการเกิดสิว และสามารถออกฤทธิ์ลดอาการอักเสบลงได้แต่ Salicylic Aicd ให้ผลลัพธ์ที่น้อยกว่า Retinoid และ Benzoyl peroxide และอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังลอก และมีอาการแสบได้ หากใช้ รักษาสิว ในปริมาณที่มากเกินไป

       
       
      Light

      Lactic Acid 88%

      Lactic Acid 88% เป็นกรดธรรมชาติที่สกัดด้วยกระบวนการบ่มจากนม มีฤทธิ์ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวโดยการผลัดเซลล์ผิว จะช่วยให้ผิวนุ่ม และช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ เนื่องจากเป็นการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเผยผิวใหม่อย่างกระจ่างใส ทั้งยังช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว


      คุณสมบัติ

      • เร่งการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ให้ผิวกระจ่างใสช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ เรียบเนียน
      • ลดความหมองคล้ำ จุดด่างดำ
      • เพิ่มความนุ่มให้ผิว แลดูอ่อนเยาว์

      ✅ปริมาณการใช้ที่แนะนำ :0.1-10% (pH ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ไม่ต่ำกว่า 3.5)

      ✅การละลาย - วิธีใช้ :ละลายน้ำอุณหภูมิปกติ, แอลกอฮอล และกลีเซอรีน

      ✅คำแนะนำเพิ่มเติม-ข้อควรระวังการใช้งาน
         ✨หลีกเลี่ยงแสงแดดทุกชนิดในช่วงที่ใช้กลุ่มกรด AHA เนื่องจากการใช้จะทำให้ผิวบางลงและผิวจะมีความไวต่อแสง
         ✨หาก pH สูงกว่า 4.0 ประสิทธิภาพของกลุ่มกรด AHA จะลดต่ำลง

       
      pexels-shiny-diamond-3762567

      Glycolic Acid 70%

      Glycolic Acid 70% สารสกัดธรรมชาติอยู่ในสารกลุ่ม Alpha Hydroxy Acid หรือกรดที่ได้จากน้ำตาล Glycolic acid มีนาดโมเลกุลขนาดเล็ก สามารถซึมเข้าผิวอย่างง่าย และสามารถซึมได้ถึงผิวชั้นกลาง ออกฤทธิ์ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ช่วยกระตุ้นการสร้าง Collagen ซึ่งส่งผลให้ผิวแข็งแรง มีความยืดหยุ่น ผิวแลดูขาวกระจ่างใส ฝ้า กระ จุดด่างดำแลดูจางลง 

      คุณสมบัติ

      • ช่วยเร่งการผลัดเซลส์ผิว
      • ช่วยในการสร้าง Collagen และจะทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น มีความยืดหยุ่น ผิวดูขาวสดใส รวมไปถึงผิวก็จะดี และริ้วรอย จุดด่างดำลดลง

      ✅ปริมาณการใช้ที่แนะนำ :4-8% (หากใช้มากกว่า 8% ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง)

      ✅การละลาย - วิธีใช้ :ละลายในน้ำ

      ✅คำแนะนำเพิ่มเติม-ข้อควรระวังการใช้งาน 

         ✨มีฤทธิ์เป็นกรด ออกฤทธิ์ได้ดีที่ pH 3-5 (ถ้า pH สูงกว่านี้ก็จะไม่มีฤทธิ์ช่วยในการลอกหลุดของเซลส์ผิวหนัง ถ้าเลือกใช้ pH ต่ำกว่านี้ ก็จะระคายเคืองผิวมาก)
         ✨มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว จึงทำให้ผิวใหม่ไวต่อแสงแดดมากขึ้น อาจจะมีอาการแสบแดง แนะนำให้เลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดดเป็นประจำ

       
       
       
      istockphoto-179014856-612x612

      คำแนะนำเพิ่มเติม-ข้อควรระวังการใช้งา

      Lactic acid , Glycolic acid โดยสารทั้งสองชนิดอยู่ในกลุ่ม Alpha Hydroxy Acid ส่วน Saicylic acid จัดอยู่ในกลุ่ม Beta Hydroxy Acid และ Azelaic acid จัดอยู่ในกลุ่ม Dicarboxylic Acid ซึ่งเป็นกรดที่มีความเข้มข้น(Direct Acids) การใช้งานควรต้องศึกษาปริมาณที่แนะนำให้ใช้ และข้อกำหนดให้ชัดเจน อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคือง หรือเกิดการแพ้ได้

      ❌ข้อควรระวังในการใช้ร่วมกับสาร ไม่ควรใช้ร่วมกับสารกลุ่ม Peptide หรือสารกลุ่ม Copper เนื่องจากค่าความเป็นกรดของสารดังกล่าวจะส่งผลต่อโครงสร้างของ Peptide และ Copper ให้มีความคงตัวลดลง นอกจากนี้สารที่ไม่ควรใช้ร่วมกัน คือ สารกลุ่มวิตามินซีเข้มข้น กลุ่มเรตินอล ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคือง รวมถึงอาการแพ้ได้ 

      ✅ควรปรับ pH ในสูตรให้อยู่ระหว่าง 5.5-6.5 

      ✅ปริมาณที่แนะนำให้ใช้: 1-10% ห้ามเกิน 10%

       

       

      ความแตกต่าง Lactic Acid 88% และ Glycolic Acid 70%

      - Glycolic acid 70% มีโมเลกุลขนาดเล็กกว่า Lactic acid 88% ส่งผลให้สามารถซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ดีกว่าและลึกกว่า จึงเป็นผลที่ทำให้ Glycolic acid สามารถทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวได้ง่ายกว่า

      - Glycolic acid 70% ออกฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวได้เพียงอย่างเดียว ในขณะที่ Lactic acid 88% สามารถผลัดเซลล์ผิวและยังช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ด้วย

      - Glycolic acid 70% มีราคาที่สูงกว่า Lactic acid 88%

      #ทั้ง Lactic Acid 88% และ Glycolic Acid 70% นอกจากจะทำหน้าที่เป็นสารช่วยผลัดเซลล์ผิวแล้ว ยังทำหน้าที่เป็น pH adjuster ได้ด้วย